เลือก
LCD Monitor ไว้ใช้งานเราควรรู้อะไรบ้าง?
เรื่องแรกก็คงหนีไม่พ้นเทคโนโลยีที่นำมาใช้
ซึ่งแบ่งเป็น
2 รูปแบบคือ Passive Matrix และ Active
Matrix โดยเทคโนโลยีทั้งสอง
มีคุณลักษณะที่แตกต่างกันไป กล่าวคือ

ภาพแสดงการทำงานของ
LCD

ขั้นตอนในการเกิดภาพบนพาเนล

ต้นกำเนิดพิกเซลบนจอ
LCD
1. Passive Matrix หรือที่เรียกว่า
Super-Twisted Nematic (STN)
ซึ่งเป็นเทคนิคแบบเก่าเริ่มแรก
จะมีความสว่างน้อยกว่า ส่วนมากถูกนำมาใช้ในจอโทรศัพท์มือถือทั่วไป โดยใช้หลักการทำงานของไดโอดในการนำประจุไฟฟ้าภายในตัวเซลล์ของผลึกเหลวแต่ละตัว แต่ข้อเสียคือตอบสนองต่อการทำงานค่อนข้างช้า ซึ่งหากสังเกตได้ชัดก็คือการเคลื่อนหรือเปลี่ยนหน้าจอเร็วๆ
จะเห็นภาพซ้อน หรือที่เรียกกันติดปากว่า
“โกสต์”
เกิดขึ้น
ข้อดีของ Passive
คือราคาไม่แพง แต่ปัจจุบันแทบไม่มีการผลิตแล้ว
2. Active Matrix หรือที่เรียกว่า
Thin Film Transistors (TFT) ถูกพัฒนาให้แสดงภาพได้คมชัดและสว่างกว่าแบบแรก
ส่วนที่ทำให้ดีขึ้นมาก
เกิดจากการที่
Active Matrix นั้นจะใช้ทรานซิสเตอร์เป็นตัวควบคมการเปิด-ปิดของพิกเซล ซึ่งข้อดีของทรานซิสเตอร์ก็คือทำงานได้เร็วกว่าไดโอดจึงลดการเกิด
“โกสต์”
ของภาพที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ
ดังนั้นหากนำไปใช้กับงานที่ต้องการแสดงผลภาพเร็วๆ ก็สามารถทำได้เลย
โดยให้คุณภาพค่อนข้างดีมากเลยทีเดียว
โดยปัจจุบันนี้จอ
LCD จะนำเทคโนโลยีแบบ
Active-Matrix มาใช้ทั้งหมด เนื่องจากมูลค่าของการผลิตนั้นถูกลงมากนั่นเอง
ความแตกต่างของพาเนลชนิดต่างๆ
โดยในปัจจุบันเราอาจแบ่งพาเนลของจอ
LCD ออกได้สามกลุ่มด้วยกันคือ
กลุ่มแรก TN
กลุ่มที่สอง
MVA, PVA และกลุ่มที่สาม
IPS สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยทีเดียวสำหรับการเลือกซื้อ
LCD Monitor
กลุ่มที่หนึ่ง
TFT แบบ TN
พาเนลที่พัฒนามาจาก
Active Matrix

ภาพการยิงแสงของ
Electode
และการเรียงตัวของผลึกคริสตัลของพาเนล
TN+Film
จุดแข็งของ
TN มีไม่มากนักแต่ก็โดนใจผู้ใช้มากที่สุด เนื่องจากมีต้นทุนผลิตที่มีค่าใช้จ่ายน้อย
และให้อัตราตอบสนองต่อพิกเซล
( Response Time) ได้รวดเร็วมาก ผลคือมอนิเตอร์เกือบจะทั้งหมดในตลาดที่ให้การตอบสนองต่อเม็ดพิกเซลแต่ละตัวได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด ใช้พาเนล
TN นี้เอง
บางรุ่นให้อัตราตอบสนองได้เร็วถึง
2ms (มิลลิวินาที) อย่างไรก็ตาม
ในด้านอื่นที่เหลือเกือบจะทั้งหมด
พาเนลในแบบ TN
ยังเป็นรองอยู่เช่นกัน
เช่นการให้สี
และมุมมองภาพ
ซึ่งเป็นจุดอ่อนสำคัญ รวมถึงการให้โทนสี
ที่มักจะสร้างเม็ดสีมีลักษณะติดกันเป็นปื้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงที่มีการเรนเดอร์สีของพื้นผิว
เนื่องจากตัวพาแนลมีค่า
Contrast น้อยที่สุดนั่นเอง
ในท้องตลาดจะอยู่สูงสุดประมาณ
700 : 1 เท่านั้น
กลุ่มที่สอง
VA (Vertical Alignment)

ภาพการยิงแสงของ
Electode
และการเรียงตัวของผลึกคริสตัลของพาเนล
VA
- MVA (Multi-Domain Vertical Alignment)
เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการตอบสนองของพิกเซลที่ยังคงช้าอยู่
Fujitsu จึงมีการพัฒนาเทคโนโลยี
LCD ออกมาอีกตัวหนึ่งคือ
MVA ซึ่งข้อดีคือสามารถให้มุมมองค่อนข้างกว้าง
กว้างกว่าในแบบ
TN ประมาณ
45 องศา และปรับปรุงให้มี
Contrast ratio สูงกว่าแบบ
TN ด้วย ส่วนทางด้านคุณภาพสียังไม่มีจุดน่าสนใจมากนัก
- P-MVA และ
S-MVA (Premium / Super Multi-Domain Vertical Alignment)
ตามชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามาแทน
MVA แบบเดิม โดยเพิ่มมุมมองให้กว้างขึ้น
และทำให้สีมีความถูกต้องมากขึ้น ในท้องตลาดที่นิยมยังเป็นเพียง
P-MVA เท่านั้น
แต่ข้อด้อยก็คือ ยังคงมีการสูญเสียรายละเอียดในโทนมืด
และราคาที่ยังแพงกว่า
TN นั่นเอง
- PVA (Patterned Vertical Alignment)
พาเนลชนิดนี้ถูกพัฒนาโดย
Samsung ชื่อที่หลายต่อหลายคนวางใจในเรื่องเทคโนโลยีการให้ภาพ โดยรวมแล้วมีคุณภาพสีและมุมมองที่ดีกว่า
MVA อยู่กึ่งหนึ่ง
(แต่ยังเป็นรอง
P-MVA) ทางด้านข้อเสียก็คือยังคงมีการตอบสนองพิกเซล
(Response Time) ที่ช้ามาก
- S-PVA (Super Patterned Vertical Alignment)
Samsung ยังคงพัฒนาพาเนล
PVA ของตน
มาเป็น S-PVA ซึ่งแก้ปัญหาการสูญเสียรายละเอียดโทนมืดได้ดีกว่าพาเนลแบบ
MVA รวมทั้งให้ค่า Contrast และ Response
Time ที่ดีกว่าพาเนลแบบ
MVA อีกด้วย
กลุ่มที่สาม
IPS (In-Plane Switching) ที่สุดของคุณภาพสี

ภาพการยิงแสงของ
Electode
และการเรียงตัวของผลึกคริสตัลของพาเนล
IPS
IPS เป็นพาเนลที่ได้รับการพัฒนาจาก
Hitachi และ
NEC ข้อดีที่เป็นสุดยอดของ
IPS ก็คือเรื่องของความแม่นยำในการให้สีสัน ไม่มีเทคโนโลยีอื่นทำได้เหมือน
ด้วยเหตุผลที่ว่านี้
จอแสดงผลระดับไฮเอนด์ทั้งหมด จึงยกให้จอแบบ
IPS เป็นมาตรฐาน
สำหรับการผลิตงานกราฟิกต่างๆ
นอกจากนี้ IPS
ยังให้มุมมองภาพที่กว้างอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย
แต่ IPS ในยุคเริ่มแรกยังคงมีปัญหาในการให้
Contrast แสงสว่าง
และ Response Time ที่ยังไม่ค่อยดีนัก
คือดีด้านคุณภาพสีกับมุมมองเท่านั้น
- S-IPS (Super In-Plane Switching)
ถูกปรับปรุงขึ้นมาจากการร่วมมือกันของ
LG และ
Philip โดยตั้งใจทำลายกำแพงข้อด้อยในเรื่อง
อัตราการตอบสนองพิกเซล
และเพิ่ม
Contrast ให้ดีกว่า
IPS เดิม
โดยมุมมองจะทำได้กว้างที่ประมาณ
170 องศา
- AS-IPS (AdvanceSuper In-Plane Switching)
เป็นยุคที่สามของพาเนลแบบ
IPS ที่
LG และ
Philip พัฒนาขึ้นมา
เรื่องคุณภาพสีคงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะทำได้สุดยอดอยู่แล้ว
หลักๆ คือการเพิ่มมุมมองมากเป็น
178 องศาเลยทีเดียว
นอกจากนั้น Response
Time ก็ทำได้ใกล้เคียงกับพาเนลในแบบ
TN ที่เรียกได้ว่าจ้าวแห่งความเร็ว
รวมทั้งให้ค่า
Contrast ratio ได้มากถึง
1600 : 1 ซึ่งมากกว่าในแบบ
MVA ถึงเท่าตัว แต่ความสมบูรณ์ในระดับนี้ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูง
รายละเอียดที่น่าสนใจในการเลือกซื้อ
- เริ่มจากมุมมองหรือ
Angle View สำคัญหรือไม่?
คุณภาพความกว้างขององศาในการมองก็เป็นไปตามลักษณะพาเนลที่ใช้ โดยในแบบ
TN นั้นตามแนวนอนจะอยู่ในช่วง
140-160 องศา ซึ่งมีค่าน้อยที่สุดในแบบพาเนลทั้งสามกลุ่ม
โดยพาเนลในแบบ
MVA และ
PVA จะอยู่ระดับกลาง
และมี AS-IPS ซึ่งให้มุมมองได้กว้างที่สุดในปัจจุบันนี้ ในการเลือกซื้อคงต้องพิจารณาว่าในการใช้งานเราต้องการเนื้อที่และมุมในการมองมากน้อยเพียงใด
ตัวอย่างการเปรียบเทียบ
Angle View ระหว่างพาเนลทั้งสามแบบ
เริ่มจากด้านซ้ายคือภาพมุมมองด้านข้างและ
บน-ล่าง
ของพาเนล TN
สังเกตได้ว่าแม้ในขณะมองตรงๆ
ภาพก็ยังมืดและรายละเอียดได้แย่กว่าพาแนลชนิด
VA และ
IPS ครั้นพอมองจากด้านข้างและด้านล่าง
จะยิ่งเห็นความผิดปกติของภาพได้ชัดเจน ส่วนรูปทางขวาสุดคือภาพที่ได้จากพาเนล
IPS จะเห็นว่ามองจากตำแหน่งไหนก็ให้รายละเอียดแทบจะเท่ากับมองจากด้านตรงเลยทีเดียว
ภาพมืดรายละเอียดสีไม่ชัดเจนเกิดจากอะไร?
รายละเอียดที่น่าสนใจอีกตัวก็คือค่า
Contrast และ
Brightness ที่ระบุมาข้างกล่องหรือในเว็บไซต์ก็ตาม สองค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี
เราอาจจะเปรียบเทียบจากรูปภาพทั้งสามรูปก่อนหน้านี้ โดยมองจากมุมตรงเข้าไป
พาเนลในแบบ TN
จะเห็นว่ามืดกว่ารายละเอียดต้นไม้ข้างหลังไม่ชัดเจน
เนื่องจากมีค่า
Brightness น้อยนั่นเอง
ตัวอย่างการไล่โทนสีจากพาเนลแบบ
TN และ
VA และใช้
Dynamic Contrast ช่วย
จะเห็นได้ว่าพาแนลแบบ
TN นั้นยังมีการกลืนกันของสีชัดเจนกว่าพาแนลในแบบ
VA ที่อยู่ตรงภาพกลาง ซึ่งจุดนี้หากจะนำ
LCD ในแบบ
TN มาใช้กับงานกราฟิกที่ต้องการความถูกต้องของสีมากๆนั้น
ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน ส่วนค่า
Contrast ratio นั้นบางรุ่นบางยี่ห้อจะมีค่าสูงมาก
เช่น 3000 : 1 ทั้งที่เป็นพาแนลในแบบ
TN เท่านั้น
ตรงจุดนี้เป็นการใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุม
Contrast ซึ่งช่วยเร่งให้สูงขึ้น
ผลที่ได้คือสีมีความอิ่มตัวมากขึ้น แต่ก็มีความผิดเพี้ยนของสีมากขึ้นเช่นกันดังรูปภาพขวาสุดครับ
เรื่องที่เถียงกันมากมายกับค่า
Response Time
ตามความหมาย
Response Time ก็คือความเร็วของเวลาในการตอบสนองเม็ดพิกเซลในการเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวแล้วกลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง ซึ่งมีหน่วยเป็นมิลลิวินาที
ยิ่งมีเลขน้อยยิ่งเร็ว
คือ 8 ms จะเร็วกว่า
16 ms ซึ่งจะมีผลกับภาพที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง
นอกจากนี้ยังมีความเร็วของ
Response Time ที่ใช้การวัดในแบบ
GTG (Gray to Gray) อีกด้วย
ซึ่งข้างกล่องจะมีค่าน้อยมากๆ อย่างเช่น
6ms GTG เป็นต้น แต่จะทำการวัดโดยเริ่มจากสีเทาเปลี่ยนเป็นขาวแล้วกลับมาเป็นสีเทาซึ่งหากเทียบแล้วจะเร็วกว่าแบบหน่วยการวัดเดิม ดังนั้นเราก็ต้องดูกันให้ดีว่าใช้หน่วยวัดใด
บางคนอาจพบว่าทำไม
8 ms ที่บ้านดูภาพเป็นเงาเท่ากับ
16 ms ของเพื่อนเลย เหตุเพราะปัจจัยดังกล่าวนี้เอง
เลือกให้ถูกใจทั้งรูปทรงและการเชื่อมต่อ
กรณีตัดสินใจได้แล้วว่าถูกใจพาแนลชนิดไหน ขนาดจอ
รูปร่างก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องเลือกว่าโต๊ะทำงานเรา ขนาดห้องของเราเหมาะสมกับจอขนาดใด
ส่วนเรื่องรูปทรงก็แล้วแต่รสนิยมของผู้ใช้ครับ แต่ที่อยากจะเน้นก็คือพอร์ตอินพุต
หากเป็นไปได้ควรจะมีพอร์ต
DVI เพื่อรับสัญญาณแบบดิจิตอลติดมาด้วย
นอกเหนือจากพอร์ต
D-Sub หรือของแถมอย่างลำโพงภายในเครื่อง
และลักษณะของวงจรแปลงไฟอยู่ภายนอก หรือภายในตัวเครื่องเลย
ตรวจสอบของและเรื่องการรับประกันก่อนออกจากร้าน
สิ่งสำคัญที่สุดในการตรวจก็ก็คือ การตรวจหา
Dead pixel และ Bright pixel วิธีง่ายๆและใช้ได้ผลคือการปรับพื้นหลังเป็นสีโทนอ่อนซัก
2-3 สี
อย่างเช่นสีเหลือง สีฟ้า
หรือสีขาว
แล้วค่อยๆกวาดตาดูหากเจอจุดดำมืด
นั่นคือ Dead
pixel นั่นเอง และการหา
Bright pixel ก็ปรับพื้นหลังเป็นสีโทนเข้มอย่างสีดำ หากมีจุดสีอื่นให้เห็นก็ไม่ต้องยกเครื่องนั้นออกจากร้าน
มองหาเครื่องอื่นได้เลยครับ ส่วนเรื่องการรับประกันก็คุยรายละเอียดกันให้เข้าใจเสียก่อนจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
สรุปเทคนิคการเลือกซื้อ

คุณสมบัติและความสามารถของตัวจอ
LCD นั้น
หลักๆ จะขึ้นอยู่กับชนิดของพาเนลที่รุ่นนั้นๆเลือกใช้
ทั้งนี้หากเป็น
พาเนลแบบ TN
จะมีราคาถูก
มีการตอบสนอง
Response Time เร็ว
เรื่องสีสันไม่ใช่จุดขาย เหมาะสมกับงานที่ไม่เน้นรายละเอียดมากนัก
เช่น
งานเอกสาร
งานออฟฟิศ เล่นอินเทอร์เน็ต
เกม หรือดูหนังบ้าง

ขยับมาที่พาเนล
VA ไม่ว่าจะเป็น
MVA หรือ
PVA เป็นอะไรที่อยู่ตรงกลางระหว่างจอภาพแบบ
TN กับ
IPS ทั้งเรื่องของมุมมองภาพ
การให้สี
และความเร็ว
Response Time สิ่งที่พาเนล
VA ทำได้ดีคือให้สีได้แม่นยำและมี
Contrast, Brightness ดีกว่า
TN โดยที่ราคาไม่โดดกว่ากันมากนัก เมื่อเทียบราคาที่ขยับลงมาตอนนี้แม้ว่าจะยังแพงกว่า
TN ในขนาดหน้าจอเท่าๆ
กัน แต่ความคุ้มค่าที่ได้คงจะเป็นที่พอใจ
เนื่องจากรองรับทั้งงาน และความบันเทิงได้สมบูรณ์มากกว่า

สุดท้ายพาเนล
IPS คงต้องบอกว่าเหมาะสมกับระดับมือโปรที่เน้นงานด้านภาพ ด้านกราฟิกเป็นหลัก
เพราะมีความแม่นยำของสีที่สุด นอกจากนั้นกระแสความบันเทิงเริ่มมีมากขึ้น
จึงเกิดการพัฒนาพาเนลมาเป็น
AS-IPS ซึ่งจัดมาตอบสนองได้สมบูรณ์ทั้งเรื่องมุมมองภาพ
สี และ Response Time เลยทีเดียวแต่แพงมากที่สุดเช่นกัน.... เอาล่ะครับอ่านมาถึงตรงนี้คงจะหายสงสัยกันแล้วบ้าง
ว่าทำไมจอ LCD
เหมือนกัน ขนาดหน้าจอกว้างเท่ากันแต่ทำไมราคาบางรุ่นแพงกว่ากันมาก ก่อนจากกันอยากฝากคำนี้ไว้ครับ
“อย่าตัดสินใจเลือกซื้อจอ
LCD เพราะดูจากเสปก ที่ระบุไว้
แต่ควรจะ
ตัดสินจากการมองด้วยตาเราเอง”
|